วันอังคารที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2556

ประเทศเกาหลีเป็นหนึ่งในประเทศกลุ่มเอเชียตะวันออก   มีประเทศที่สำคัญประกอบด้วย  จีน  ญี่ปุ่น   และเกาหลี   จาก ข้อมูลทางประวัติศาสตร์ของประเทศทั้งสาม   พบว่าตลอดระยะเวลาอันยาวนานได้มีการปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันอย่างต่อเนื่อง   ในกรณีของเกาหลีถึงแม้ว่าในอดีตจะเป็นฝ่ายที่ถูกรุกรานจากทั้งสองประเทศเพื่อนบ้าน   ได้แก่  จีนและญี่ปุ่นอยู่เป็นประจำก็ตาม  แต่นับได้ว่าเป็นความเข้มแข็งและมุ่งมั่นของชาวเกาหลีเอง   ที่ไม่ปล่อยให้วัฒนธรรมดนตรีของชาติทั้งสองเข้ามาครอบงำวัฒนธรรมดนตรีของตน  โดยชาวเกาหลีได้เลือกรับเอาแบบอย่าง   และนำมาพัฒนาปรับปรุง   ให้มีรูปลักษณ์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตน
                จากรากฐานของวัฒนธรรมดนตรีที่มีกำเนิดมาจากแหล่งเดียวกัน  อีกทั้งตลอดระยะเวลาที่ได้มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน  จึงปรากฏพบเห็นเครื่องดนตรีจำนวนมากของประเทศทั้งสามที่มีลักษณะที่ใกล้เคียงกัน  โดยทั้ง  วัฒนธรรมต่างก็มีข้อปลีกย่อยและรายละเอียดที่แตกต่างกันออกไป  ลักษณะของความสัมพันธ์ทางดนตรีที่ทั้ง  3   วัฒนธรรมมีต่อกัน   น่าจะเปรียบได้กับวัฒนธรรมฆ้องของชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้   ที่ประกอบไปด้วยลักษณะที่คล้ายคลึงและข้อที่แตกต่างในขณะเดียวกัน ดังนั้นจึงพบว่าในอดีตการแบ่งหมวดหมู่เครื่องดนตรีเกาหลี   อาศัยวิธีการแบ่งอยู่  ระบบ คือ  ระบบจีนและระบบเกาหลี
                ระบบจีน   การแบ่งหมวดหมู่เครื่องดนตรีในระบบนี้   เกาหลีได้รับอิทธิพลมาจากจีน  ผ่านลัทธิขงจื้อที่สอนให้ลูกหลานต้องบูชาเซ่นไหว้ดวงวิญญาณของบรรพบุรุษ  ทำให้ได้รับอิทธิพลจากดนตรีจีนที่มีระเบียบวิธีการปฏิบัติในพิธีกรรมดังกล่าว   หลั่งไหล่เข้ามาสู่เกาหลีตามลัทธิและความเชื่อแบบขงจื้อ   โดยเครื่องดนตรีดังกล่าวจัดหมวดหมู่ตามแบบของวัฒนธรรมดนตรีจีนแบบดั้งเดิม   ตามลักษณะที่แตกต่างกันของวัสดุที่ใช้ทำ   ซึ่งแยกเป็น  8 หมวดหมู่ดังนี้
                                                1. โลหะ                           5.  ผลน้ำเต้า
                                                2.  หิน                              6.  ดินเหนียว
                                                3.  ไหม                             7.  หนัง
                                                4.  ไม้ไผ่                            8.  ไม้
                ระบบเกาหลี   นักดนตรีวิทยาชาวเกาหลี   ได้พัฒนาระบบนี้ในช่วงสมัยราชวงศ์ยี  (ระหว่างปีคริสต์ศักราช 1382 – 1910)   การจัดหมวดหมู่ตามระบบนี้   อาศัยการแยกแยะตามลักษณะกำเนิดและลักษณะในการบรรเลงของดนตรีแต่ละประเภทเป็นสำคัญ   โดยแยกออกเป็น 3 กลุ่ม
1.                  1.    กลุ่มดนตรีในราชสำนัก  (อ๊าก)
2.                  2.   กลุ่มดนตรีจีน  (ถังอั๊ก)
3.                  3.  กลุ่มดนตรีเกาหลี  (หยางอั๊ก)
           การจัดหมวดหมู่ในระบบของเกาหลี   มีวัตถุประสงค์ในการจำแนกประเภทของดนตรีเป็น  สำคัญซึ่งในอดีตเป็นวิธีที่ทันสมัย  และสอดคล้องกับสถานการณ์ในขณะนั้น   ในปัจจุบันนักดนตรีวิทยาของเกาหลีเอง  นิยมแบ่งหมวดหมู่ของเครื่องดนตรีโดยอาศัยการผสมผสานกันระหว่างระบบของ  Hornbostel – Sachs และระบบของจีน ซึ่งมีศักยภาพในการแยกแยะถึงหลักวิธีการเกิดของเสียงและวัสดุที่ทำให้เกิดเสียงได้อย่างละเอียด และมีประสิทธิภาพดังนี้

เครื่องดนตรี


1.   เครื่องดนตรีประเภทเครื่องเป่า
     1.1 เครื่องเป่าประเภทขลุ่ย
                ขลุ่ยผิว  เป็นขลุ่ยที่เป่าตามแนวนอน   เกาหลีมีขลุ่ยชนิดนี้อยู่  3 ขนาดด้วยกัน คือ ขลุ่ยเทคึม (Taegum)   ขลุ่ยชุงคึม (Chunggum) และขลุ่ยโซคึม (Sogum) โดยขลุ่ยทั้งสามชนิดนี้มีขนาดใหญ่ ปานกลาง   และเล็ก   ลดหลั่นกันตามลำดับ   ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์   ระบุว่าเกาหลีเริ่มใช้ขลุ่ยผิวอย่างเป็นทางการตั้งแต่สมัยสหราชอาณาจักรสิลลาหรือรัฐรวมสิลลา เมื่อประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 7
                ขลุ่ยเทคึม   เป็นขลุ่ยที่มีขนาดความยาวประมาณ  2 ฟุต 5 นิ้ว เมื่อเปรียบเทียบกับขลุ่ยชากุฮาชิ  (Shakuhachi)  ของญี่ปุ่นแล้ว   ขลุ่ยเทคึมของเกาหลีจะมีขนาดที่ยาวกว่า   ขลุ่ยชนิดนี้ประกอบไปด้วยรูต่าง ๆ  จำนวนทั้งสิ้น  รู  ในจำนวนนี้เป็นรูที่ใช้ปิด เปิดเพื่อให้เกิดระดับเสียงต่าง ๆ  จำนวน  รูเป็นรูปที่ใช้สำหรับเป่า  รู   ส่วนที่เหลืออีก รู เป็นรูเยื้อ  รูเยื้อนี้จะใช้แผ่นหนังบาง ๆ  หุ้มปิดไว้   ดังนั้นเวลาที่บรรเลง   น้ำเสียงของขลุ่ยชนิดชนิดนี้จะมีความสั่นพลิ้ว   นุ่มนวล   เป็นเอกลักษณ์โดดเด่นเฉพาะตัว   กรณีนี้เป็นเหตุผลที่สำคัญที่ก่อให้เกิดความแตกต่างในด้านสีสันของเสียง  ระหว่างขลุ่ยผิวของเกาหลี  จีน   และญี่ปุ่น 
                ขลุ่ยเทคึมมีช่วงพิสัยของเสียงอยู่  2 ช่วงทบเสียงระหว่าง  Bb  ถึง Eb  บทบาทในการบรรเลง  มีลักษณะที่คล้ายคลึงกับปี่โอโบในวงดุริยางค์ตะวันตก   ในการบรรเลงร่วมวง   เครื่องดนตรีประเภทเครื่องสายจะต้องตั้งระดับเสียงให้ตรงกับเสียงของขลุ่ยเทคึม   ขลุ่ยชนิดนี้นิยมใช้บรรเลงร่วมอยู่ในวงดนตรีราชสำนัก  
                     ขลุ่ยชุงคึม    เป็นขลุ่ยที่มีลักษณะและองค์ประกอบเช่นเดียวกับขลุ่ยเทคึมทุกประการ   เพียงแต่มีขนาดที่ย่อมกว่าเท่านั้น 
                ขลุ่ยโซคึม   ขลุ่ยชนิดนี้มีบทบาท  ขนาด   และน้ำเสียงใกล้เคียงกับขลุ่ยปิคโคโล  (Piccolo)  ในวงดุริยางค์ตะวันตก   และขลุ่ยเรียวเตกิ (Ryuteki) ในวงกางากุของญี่ปุ่น 
                ลักษณะโดยทั่วไปของขลุ่ยโซคึม   คล้ายคลึงกับขลุ่ยเทคึม   แตกต่างเฉพาะขลุ่ยโซคึมไม่มีรูเยื้อ   และมีขนาดที่เล็กกว่า  มีระดับเสียงสูงกว่าขลุ่ยเทคึมประมาณ  1 ช่วงทบเสียง   ขลุ่ยชนิดนี้ใช้บรรเลงร่วมอยู่ในวงดนตรีราชสำนัก
                   ทันโชะ  (Tanso)  ทันโซะเป็นขลุ่ยที่เป่าตามแนวตั้ง   ในลักษณะเช่นเดียวกับขลุ่ยเพียงออของไทยขลุ่ยชนิดนี้มีรูสำหรับปิด เปิดเสียงอยู่ 6 รู   อยู่ด้านหน้าจำนวน 5 รู และมีรูค้ำอยู่ด้านหลังอีก 1 รู 
                ขลุ่ยทันโซะ    จัดได้ว่าเป็นเครื่องดนตรีประเภทเป่าที่มีพัฒนาการร่วมกันกับขลุ่ยชากุฮาชิ  (Shakuhachi)   ของญี่ปุ่น   และตุงเชียว (Tung – hsiao) ของจีน   นักดนตรีวิทยาของเกาหลีชื่อว่า ขลุ่ยชนิดนี้เผยแพร่เข้ามาสู่ประเทศเกาหลีหลังจากคริสต์ศตวรรษที่ 17 ขลุ่ยชนิดนี้มีศักยภาพในการผลิตเสียงได้ 2 ช่วงทบเสียงระหว่าง  Gb - Gb

      1.2   เครื่องเป่าประเภทปี่
                ปิริ  (Piri)  ปิริเป็นเครื่องดนตรีประเภทปี่ลิ้นคู่   มีอยู่  ชนิดด้วยกันได้แก่   หยางปิริ  (Hyang – piri)   เซปิริ  (Se – piri)  และถังปิริ  (Tang – piri)   ปิริทั้ง ชนิดนี้มีรูสำหรับปิด เปิดเพื่อให้เกิดระดับเสียงต่าง ๆ  จำนวน  รู  อยู่ด้านหน้าจำนวน 7 รู   และอยู่ด้านหลังอีกจำนวน  รู  ข้อที่พึงสังเกตในกรณีของลิ้นปี่ปิริที่มีขนาดความยาวแตกต่างไปจากลิ้นปี่ชนิดอื่น ๆ  กล่าวคือ  มีความยาวประมาณ  1 ใน  ของความยาวรวมของทั้งเลาปี่และลิ้นปี่รวมกัน
               ปี่หยาง   หรือหยางปิริ  เป็นเครื่องดนตรีที่มีบทบาทหน้าที่เช่นเดียวกันกับปี่ไฮชิริกิ  (Hichiriki)  ของญี่ปุ่น   ที่ใช้บรรเลงในวงกางากุ   นักดนตรีวิทยาของเกาหลีเชื่อว่าเครื่องดนตรีชนิดนี้เริ่มใช้ในเกาหลีเมื่อประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 6 โดยสันนิษฐานว่าน่าจะมีถิ่นกำเนิดมาจากดินแดนแถบเอเชียกลาง   โดยผ่านเข้ามาทางดินแดนตอนเหนือของจีน ก่อนที่จะเข้ามาสู่ประเทศเกาหลีและพัฒนามาเป็นรูปแบบดังที่ใช้บรรเลงอยู่ปัจจุบัน
                ในการบรรเลงร่วมกับเครื่องดนตรีชนิดอื่น   ปี่หยางนับว่าเป็นเครื่องดนตรีที่มีบทบาทสำคัญ ในฐานะเป็นเครื่องดนตรีที่ใช้บรรเลงนำ  ปี่ชนิดนี้มีเสียงที่ดัง   ขณะประสมวงร่วมกับเครื่องดนตรีชนิดอื่น   จะดังเด่นชัดทำให้ง่ายต่อการแยกแยะถึงคุณลักษณะเฉพาะของเสียง   ปี่หยางมีช่วงพิสัยของเสียงไม่กว้างมากนัก  ประมาณ  Ab
                     ปี่เซ   ปี่ชนิดนี้เรียกในภาษาเกาหลีว่า  เซปิริ   ลักษณะโดยทั่วไปเหมือนกับปี่หยางทุกประการ   แตกต่างกันเฉพาะขนาดของปี่เซที่มีขนาดเล็ก   มีน้ำเสียงที่เบาและนุ่มนวลกว่า  ด้วยสาเหตุที่มีเสียงที่เบานี้เอง  จึงไม่นิยมใช้ปี่ชนิดนี้บรรเลงร่วมในวงดนตรีขนาดใหญ่ 
                ปี่เทียบยังโซ  (Taep’ yongso) เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องเป่าชนิดลิ้นคู่ เครื่องดนตรีชนิดนี้มีลักษณะคล้ายคลึงและสืบสายมาจากเครื่องดนตรีในสกุลเดียวกันกับ   ซุรนาของชาวเปอร์เซีย   โซนาของชาวจีน   เชห์ไนของอินเดีย และปี่ไฉนของไทย   บางครั้งเครื่องดนตรีชนิดนี้ เรียกว่า โชะนับ โฮจอก (Soenap  Hojok)   ซึ่งหมายถึงเครื่องเป่าของพวกอาณารยชนหรือพวกป่าเถื่อน   เครื่องดนตรีชนิดนี้   แพร่ขยายเข้ามาในเกาหลีช่วงสมัยราชวงศ์หยวนของจีน   ประมาณ     คริสต์ศตวรรษที่ 13-14 ในครั้งนั้นเกาหลีได้นำเครื่องดนตรีชนิดนี้มาใช้สำหรับกิจการดนตรีของกองทัพ   ต่อมาในสมัยราชวงศ์ยี ได้ถูกนำมาใช้ในการประกอบพิธี ในปัจจุบันนี้เทียบยองโซ ใช้บรรเลงร่วมอยู่ในขบวนกองทัพแบบโบราณ นอกจากนั้นยังใช้ร่วมงานในพระราชพิธี¹   และวงดนตรีชาวนา หรือนองอั๊ก  เทียบยังโซมีรูปิด เปิดเสียงจำนวน  รู  อยู่ด้านหน้าจำนวน  รู  และอยู่ด้านหลังอีก  รู เครื่องดนตรีชนิดนี้ระดับเสียงอยู่ระหว่าง  Ab  - Eb  เนื่องจากเป็นเครื่องดนตรีที่มีเสียงที่ดังมากจึงเหมาะสำหรับการบรรเลงกลางแจ้ง
               
      1.3 เครื่องเป่าประเภทแคน
                โซะ ( So ) เป็นเครื่องดนตรีตระกูลแคน  มีลักษณะคล้ายคลึงกับ  เช็ง (Sheng)  ของจีน  และโช (Sho)  ของญี่ปุ่น  เครื่องดนตรีนี้บางครั้งเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า  ปองโซะ  (Pong - so) 
                โซะ  ประกอบด้วยลำหลอดเสียงที่ทำจากไม้ซางจำนวน  16  ลำ  ลำหลอดเสียงหรือลูกแคนทั้ง  16  ลูกจะสอดและผนึกอยู่กับกรอบไม้เนื้อแข็ง  ซึ่งมีทรวดทรงคล้ายกับปีกของนก  การเทียบเสียงของลูกแคนทั้ง  16  นอกจากจะเกิดจากขนาดความยาวของลำลูกแคนที่มีขนาดลดหลั่นกันแล้ว  ในการปรับระดับรายละเอียดของเสียง  จะอาศัยวิธีการเพิ่มและลดปิริมาณของขี้ผึ้ง เครื่องดนตรีชนิดนี้สามารถลดระดับครึ่งขันเสียง   (Semitone) จากระดับ  C – D#  โดยทั่วไปใช้บรรเลงร่วมอยู่ในพิธีบวงสรวงตามประเพณีของราชสำนักเกาหลีที่รับมาจากจีน
               
       1.4 เครื่องเป่าที่ทำจากดิน
                ฮุน  (Hun)  เป็นเครื่องดนตรีที่มีรูปร่างคล้ายลูกตุ้มยกน้ำหนัก  ทำจากดินเหนียวที่ผ่านการเผา  ด้านบนสุดมีรูสำหรับเป่า  รู  รอบลำตัวของฮุนมีรูสำหรับปิดเปิดเสียง  รูสำหรับมือซ้าย  2 รู  โดยใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วก้อยควบคุมการปิดเปิด  และอีก  รูสำหรับมือขวา  โดยมีนิ้วหัวแม่มือ  นิ้วกลาง  และนิ้วก้อยทำหน้าที่ควบคุมปิดเปิดระดับเสียงต่าง ๆ ตามความต้องการ  คุณภาพการของเสียงเครื่องดนตรีชนิดนี้  ขึ้นอยู่กับขนาดและทรวดทรง  ประกอบกับกรรมวิธีในการเผาดินเหนียวก่อนที่จะมาเป็นเครื่องดนตรีเครื่องนี้ว่ามีคุณภาพมากน้อยเพียงใด  เครื่องดนตรีชนิดนี้เผยแพร่เข้ามาสู่ประเทศเกาหลีในช่วงสมัยโกเรียว  ซึ่งตรงกับราชวงศ์ซ้องของจีน   ฮุนเป็นเครื่องดนตรีที่ใช้บรรเลงร่วมในดนตรีประกอบพิธีกรรมในลัทธิขงจื้อ
                 ปัจจุบันประเทศเกาหลีไม่ได้มีการปกครองในระบอบที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข แต่เพื่อเป็นการรักษาวัฒนธรรมอันดีงาม รัฐบาลเกาหลีโดยหน่วยงานรับผิดชอบด้านวัฒนธรรม ดังนั้นในทุกปีได้จัดให้มีพระราชพิธีแบบดั้งเดิม โดยเชื้อพระวงศ์ลำดับต่างๆ จะได้รับเกียรติร่วมในพิธี

     1.5 เครื่องเป่าประเภทแตร
                นาปาล (Napal)  นาปาลเป็นเครื่องเป่าตระกูลแตรเดี่ยวที่ใช้ในกิจการดนตรีกองทัพของเกาหลี  เครื่องดนตรีชนิดนี้มีลักษณะที่คล้ายคลึงกับแตรลาปา  (La-Pa)  ลำตัวที่เป็นท่อเสียงของนาปาลทำด้วยโลหะ  แบ่งเป็น  ท่อน สามารถถอดแยกออกจากกันหรือนำมาประกอบติดต่อกันได้  แตรนาปาลไม่มีรูปิดเปิดสำหรับบังคับเสียงเหมือนเครื่องดนตรีประเภทเครื่องเป่าชนิดอื่น ๆ ปัจจุบันเครื่องดนตรีชนิดนี้ใช้บรรเลงในขบวนเดินแถวทหารแบบโบราณของเกาหลี  เครื่องดนตรีชนิดนี้มีเสียงที่ดังลึก  นิยมเป่าเพียงระดับเสียงเดียว  ควบคู่ไปกับเครื่องดนตรีประเภทเครื่องเป่าที่มีลักษณะเช่นเดียวกัน  เช่น  แตรสังข์  เป็นต้น

2.  เครื่องดนตรีประเภทเครื่องสาย
     2.1 ประเภทเครื่องดีด
                ในการแบ่งหมวดหมู่เครื่องดนตรีตามระบบจีน  ซึ่งเกาหลีเคยใช้มาในอดีต  เครื่องดนตรีประเภทเครื่องดีดถูกจัดอยู่ในประเภทเครื่องดนตรีที่ทำด้วยไหม  ปัจจุบันเครื่องดนตรีประเภทนี้แบ่งออกเป็น  กลุ่ม  ตามลักษณะของการวางเครื่องดนตรีขณะบรรเลงได้แก่  เครื่องดนตรีประเภทตั้งพื้นแนวนอนและเครื่องดนตรีประเภทจับในแนวตั้ง
                กายาคึม (Kayagum)  เป็นเครื่องดนตรีชนิดตั้งราบขนานไปกับพื้นเช่นเดียวกับจะเข้ของไทย ลักษณะโครงสร้างโดยรวมของเครื่องดนตรีชนิดนี้ คล้ายคลึงกับเจง (Cheng) ของจีน และโกโตะ (Koto) ของญี่ปุ่น
                เครื่องดนตรีชนิดนี้เรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่า  กายาโกะ (Kayako)  เกาหลีได้รับแบบอย่างมาจากเจงของจีน  หลักฐานที่เกี่ยวข้องกับกายาโกะปรากฏครั้งแรกในดินแดนเกาหลีช่วงคริสต์ศตวรรษที่  6 โดยเชื่อกันว่ากษัตริย์กาสิล (Kasil)  แห่งเมืองกายา  (Kaya)  ในแถบภาคใต้ของเกาหลีเป็นผู้ประดิษฐ์คิดค้นขึ้นมา  ภายหลังเครื่องดนตรีชนิดนี้ได้เผนแพร่เข้าสู่ไปสู่ราชสำนักญี่ปุ่นในสมัยนารา (คริสต์วรรษที่  6 – 9 )  ซึ่งรู้จักกันในญี่ปุ่นสมัยนั้นว่า  ชิระคิโกโตะ (Shiragikoto)  ซึ่งหมายถึงโกโตะจากพระราชอาณาจักรสิลลา  เครื่องดนตรีที่นักดนตรีชาวเกาหลีได้นำติดตัวไปเผยแพร่ในญี่ปุ่นระยะแรก ๆ ยังคงเก็บรักษาไว้ในพระราชวัง  Shosion  เมืองนารา    กายาคึม  แบ่งออกเป็น  ประเภทตามลักษณะของการใช้งานคือ  1)  ชองอั๊ก  กายาคึม  (Chongak  Kayakum ) และ  2 )  ซันโจะ  กายาคึม  (Sanjo  Kayakum)   ชองอั๊ก  กายาคึม  ใช้บรรเลงร่วมในวงดนตรีราชสำนัก  ส่วนซันโจะ  กายาคึม  ใช้ร่วมบรรเลงทั่วไปในรูปแบบของดนตรีพื้นบ้าน กายาคึมทั้งสองประเภทมีสาย 12 สาย สายแต่ละสายพาดลงบนหย่องที่ทำเป็นรูปทรงตัววีคว่ำ  (L)   ตั้งอยู่ตามตำแหน่งเสียงต่าง ๆ บนลำตัวของกายาคึม ลักษณะทั่วไปของกายาคึมทั้ง 2 ชนิด มีลักษณะคล้ายคลึงกัน แตกต่างเฉพาะในส่วนของขนาดและการประดับตกแต่ง  ในการบรรเลงผู้บรรเลงจะใช้นิ้วหัวแม่มือ  นิ้วกลาง  ของมือขวาดีดลงไปที่สาย  ขณะเดียวกันก็ใช้นิ้วหัวแม่มือ  และนิ้วกลางของมือซ้ายกดลงไปบนตำแหน่งใกล้กับหย่อง  คล้ายกับวิธีการกดนิ้วลงบนนมจะเข้ของไทย    การเทียบเสียงของกายาคึมทั้ง  2 ประเภท มีลักษณะที่แตกต่างกัน อย่างไรก็ตามโดยรวมแล้วเครื่องดนตรีชนิดนี้มีศักยภาพในการผลิตเสียงได้ประมาณ 2 ช่วงทบเสียงจาก Eb – Bb   กายาคึมจัดเป็นเครื่องดนตรีที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในเกาหลี  เครื่องดนตรีชนิดนี้  มีภาพลักษณ์ที่โดดเด่น  เสมือนกับเป็นตัวแทนของดนตรีเกาหลี  ในลักษณะที่เหมือนกับโกโตะที่เป็นเครื่องดนตรีตัวแทนของดนตรีญี่ปุ่น  หรือซีตาร์  เป็นเครื่องดนตรีตัวแทนของดนตรีอินเดีย
                โกมุมโกะ  เป็นเครื่องดนตรีที่ประดิษฐ์ขึ้นในสมัยสามอาณาจักรหรือสามก๊กของเกาหลี  โดยการเริ่มของมหาเสนาบดี  วังชาน  อั๊ก  (Wang san ak) แห่งราชวงศ์โกกูเรียว ในสมัยรัฐรวมสิลลา โกมุนโกะเป็นดนตรีที่มีบทบาทสำคัญเป็นอย่างมากร่วมกับกายาคึมและปิปะ
                เครื่องดนตรีชนิดนี้นิยมใช้บรรเลงร่วมอยู่ในวงดนตรีราชสำนักและวงดนตรีพื้นบ้านทั่วไป  ลักษณะของเครื่องดนตรีชนิดนี้หากมองอย่างผิวเผิน  จะมีลักษณะที่คล้ายคลึงกับกายาคึม แต่หากพิจารณาในรายละเอียด  เครื่องดนตรีทั้งสองชนิดนี้จะมีลักษณะบางประการที่แตกต่างกัน  กล่าวคือ  โกมุนโกะมีสาย  6 สาย  สายทั้งหมด ทำมาจากเชือกไหมที่บิดขวั้นจนเป็นเนื้อเดียวกันและคล้ายกับซอสามสายของไทย ในจำนวนสายทั้ง 6 นั้น  สายที่  2, 3, และ  4 พาดลงบนนมจำนวน  16 อัน  โดยนมทั้ง  16  อันจะยึดติดแน่นไม่สามารถที่จะปรับเปลี่ยนได้  ในขณะที่สายที่เหลืออีก  สายคือสายที่  1, 5  และ พาดลงบนนมที่มีลักษณะเป็นทรงตัววีคว่ำ   (Lเช่นเดียวกันกับนมของกายาคึม  (Kayagum)  โดยนมทั้งสามจะสามารถปรับเปลี่ยนตำแหน่งได้ตามความต้องการ 
                ในขณะบรรเลง  นักดนตรีจะใช้มือด้านขวาถือไม้ดีดที่ทำจากไม้ไผ่  สำหรับใช้ดีดให้เกิดเสียง  ขณะที่มือซ้ายกดตามนมตำแหน่งต่างๆเพื่อให้เกิดเสียงตามที่ต้องการ  บรรดาเครื่องดนตรีของเกาหลีด้วยกัน  โกมุนโกะจัดได้ว่าเป็นเครื่งอดนตรีทีมีช่วงพิสัยของเสียงกว้างที่สุด  โดยสามารถผลิตเสียงได้ถึง  3 ช่วงทบเสียงจาก  Bb – Bb
                ปิปะ (Pipa)  ประเทศในกลุ่มเอเชียตะวันออก  ได้แก่ จีน  ญี่ปุ่น  และเกาหลี  เป็นดินแดนที่ปรากฏพบเครื่องดนตรีประเภทดีดรูปทรงลิวท์ (Lute)  ครอบคลุมทั่วทั้งภูมิภาค  โดยแต่ละประเทศจะมีชื่อเรียกที่แตกต่างกันออกไป  กล่าวคือ  จีนเรียกเครื่องดนตรีชนิดนี้ว่า  ปิปะ  (Pipa)  ญี่ปุ่นเรียกว่า  บิวะ (Biwa) และเกาหลีเรียกว่า  หยางปิปะ  ซึ่งหมายถึงพิณเกาหลี
                ในปัจจุบันประเทศเกาหลีมีพิณทรงลิวท์ที่ใช้บรรเลงในปัจจุบันอยู่  2 ชนิด ได้แก่ หยางปิปะ และถังปิปะ โดยเครื่องดนตรีชนิดนี้ได้รับอิทธิพลมาจากจีน ซึ่งเผยแพร่เข้าสู่ประเทศเกาหลีในช่วงสมัยสามก๊กของเกาหลี
             หยางปิปะ  มีกล่องเสียงเป็นรูปทรงมนรี  มีสาย  5 สาย  สายทั้ง  พาดผ่านบนนมจำนวน  10  อัน  ในการบรรเลง  ผู้บรรเลงจะใช้ไม้ดีดที่ทำเป็นแท่งคล้ายกับจะเข้ของไทย  แต่มีขนาดที่ยาวกล่าวเล็กน้อย
                ถังปิปะ  เป็นพิณชนิดที่มี  4 สาย  พาดผ่านลงบนนม  จำนวน  อัน ซึ่งติดอยู่บริเวณกล่องเสียง  ในขณะที่บริเวณคอพิณจะมีนมอีกจำนวน  อัน  ที่ทำเป็นรูปทรงโค้งนูน  ผู้บรรเลงจะใช้แผ่นไม้บาง ๆ สำหรับเป็นไม้ดีด  ในปัจจุบันทั้งหยางปิปะ  และถังปิปะ  ไม่นิยมนำมาบรรเลงร่วมกัน
                วากองฮู (Wa – Konghu)  เป็นรูปพิณทรงฮาร์ฟที่มีรูปทรงคล้ายกับพิณ  ซองกก (Saung – Gauk)  ของพม่า  และพิณกุงหัว  (Kung – hoa)  ของจีน ในอดีตเกาหลีมีรูปทรงพิณฮาร์ฟอยู่  ชนิดด้วยกัน  ได้แก่  1)  วากองฮู  (Wa-konghu)  พิณรูปทรงฮารฟ์ในขณะบรรเลงจะตั้งเครื่องดนตรีขนานไปกับพื้น  2)  ซูกองฮู (Su-konghu)  พิณที่บรรเลงในแนวตั้ง  และ  3)  เตกวงฮู (Tae-Konghu)  พิณที่มีรูปทรงคล้ายคลึงกับพิณของชาว  Assyrian
                หลักฐานข้อมูลทางประวัติศาสตร์ของจีนระบุว่าพิณทั้ง  3 ชนิดนี้ เกาหลีได้ใช้ในการบรรเลงร่วมในวงดนตรีแบบต่าง ๆ อย่างน้อยสุดตั้งแต่สมัยราชวงศ์ปักเซ นอกจากนั้นยังได้ระบุด้วยว่าพิณชนิดนี้ได้เผยแพร่เข้าไปในญี่ปุ่นช่วงสมัยเดียวกัน โดยที่ญี่ปุ่นเรียกเครื่องดนตรีชนิดนี้ว่า กุดาระ-โกโตะ ซึ่งหมายถึงเครื่องดนตรีจากปักเซ
                โวลคัม (Wolgum)  ความหมายตามอักษรศาสตร์คำว่า  โวลคัม”  หมายถึง  จันทรวีณา”  หรือ  พิณที่มีรูปทรงกลมดุจดวงจันทร์  เหมือนหยู่ฉิน  (Yueh – chin)  ของจีนและพิณเค็กกิน  (Gekkin)  ของญี่ปุ่น  แตกต่างกันเฉพาะพิณโวลคัมของเกาหลีมีคอพิณที่ยาวในขณะที่อยู่ฉินของจีนมีคอที่สั้น 
                โวลคัม  เป็นพิณชนิดมี  สาย  เครื่องดนตรีชนิดนี้ปรากฎหลักฐานเป็นภาพวาดสมัยโกคูเรียว (37  ปีก่อนคริสต์ศักราชถึง  668 )  ครั้นถึงสมัยราชวงศ์ยี  เครื่องดนตรีชนิดนี้ใช้บรรเลงร่วมอยู่ในวงดนตรีแบบหยางอั๊ก (Hyang–Ak) ปัจจุบันเครื่องดนตรีชนิดนี้ไม่นิยมนำมาบรรเลงร่วมในการประสมวง

     2.2 เครื่องสายดนตรีประเภทสี
               อาเจ็ง  (Ajaeng)  รูปทรงโดยรวมของอาเจ็ง มีลักษณะที่คล้ายคลึงกับ กายาคึมและโกมุนโกะ   กล่าวคือยังคงเป็นเครื่องดนตรีที่ตั้งตามแนวราบขนานไปกับพื้น ลักษณะเช่นเดียวกับจะเข้ของไทย แตกต่างกันเฉพาะอาเจ็งเป็นเครื่องดนตรีที่ผลิตเสียงโดยวิธีสี
                เครื่องดนตรีชนิดนี้มีสาย  7 สาย สายทั้ง 7 พาดผ่านลงบนนมที่มีลักษณะเป็นรูปทรงตัววีคว่ำ (L) เช่นเดียวกับนมของกายาคึมและโกมุมโกะ คันชักของอาเจ็งทำจากไม้เนื้อแข็งโดยปราศจากขนหางม้า ก่อนการบรรเลง นักดนตรีจะใช้ยางสนฝนบนคันชักไม้ในตำแหน่งที่จะใช้สีในลักษณะเช่นเดียวกับการที่ถูยางสนที่ขนหางม้าของซอไทย
                 แฮคึม  (Haegum)  เป็นซอ  สาย  ลักษณะเหมือนกันกับซอฮู ฉิน  (Hu – Chin)  ของจีน  และคล้ายคลึงกับซอด้วงของไทย  นักดนตรีวิทยาเชื่อกันว่าเครื่องดนตรีชนิดนี้เผยแพร่เข้ามาสู่เกาหลีช่วงสมัยโกเรียวา (คริสต์ศักราช  918 – 1392)  แฮคึมในบรรเลงนำทำนอง  ร่วมประสมอยู่ในวงดนตรีเกาหลีแบบดั้งเดิม  หรือดนตรีแบบหยางอั๊ก (Huang – Ak)  นอกจากนั้นยังนิยมใช้บรรเลงประกอบการร่ายรำ

    2.3 เครื่องสายประเภทตี
                ยังคึม  (Yanggum)  เป็นเครื่องสายประเภทตี มีลักษณะคล้ายกับขิมจีนหรือยังฉิน (yang – chin) ซันตรู (Santoor) ของชาวเปอร์เซียและอินเดีย ตลอดทั้งขิมที่ใช้บรรเลงในวงเครื่องสายผสมของไทย
                ยังคึมจัดเป็นเครื่องดนตรีประเภทสายชนิดเดียวของเกาหลีที่สายทำด้วยโลหะ ทั้งนี้เพราะเครื่องสายทุกชนิดทั้งดีดและสี  ล้วนมีสายที่ทำมาจากไหมหรือส่วนผสมของไหมทั้งสิ้น
                เครื่องดนตรีชนิดนี้เผยแพร่เข้ามาสู่ประเทศจีนครั้งแรกเมื่อประมาณสมัยราชวงศ์หมิงของจีน  ภายใต้การนำของบาทหลวงชาวคริสต์  ครั้งถึงสมัยในราชวงศ์จิ๋น  ยังคึมได้เผยแพร่เข้าสู่ประเทศเกาหลีอีกทอดหนึ่ง  ปัจจุบันเครื่องดนตรีชนิดนี้ใช้บรรเลงในวงดนตรีเกาหลีทั่วไป

3.  เครื่องดนตรีประเภทเคาะ
              ปัก  (Pak)   เครื่องดนตรีชนิดนี้มีรูปร่างคล้ายคลึงกับกรับพวงของไทย แต่มีขนาดที่ใหญ่กว่าเกาหลีได้รับอิทธิพลเครื่องดนตรีชนิดนี้มาจากจีน หลักฐานทางประวัติศาสตร์ระบุว่าเครื่องดนตรีชนิดนี้ใช้บรรเลงร่วมในดนตรีจีนหรือดนตรีถัง (Tang-Ak) ตั้งแต่รัชสมัยของกษัตริย์มุงจอง (Mongjong) แห่งราชวงค์โกเรียว 
                ปัก  หรือกรับพวงของเกาหลีประกอบด้วยแผ่นไม้จำนวน  อัน  โดยแผ่นไม้ทั้ง  อัน  ผูกยึดติดกันด้วยหนังกวาง  ในจำนวนแผ่นไม้ทั้ง  อัน  ไม้  อัน  จะใช้เป็นกรอบ  ซึ่งมีขนาดที่หนากว่าไม้อีก  อัน  ซึ่งอยู่ระหว่างกรอบทั้งสอง  เครื่องดนตรีชนิดนี้นับได้ว่ามีความสำคัญเป็นอย่างมาก  ทั้งนี้เพราะในการบรรเลงร่วมในวงดนตรีราชสำนักและประกอบพิธีกรรมทางศาสนาในลัทธิขงจื้อ  ปักจะมีหน้าที่เป็นผู้ให้สัญญาณทุกครั้ง  ก่อนการบรรเลงและก่อนที่จะจบการบรรเลง  ผู้บรรเลงจะตีปัก  ครั้งติดต่อกันให้เกิดเสียง  ปัก  ปัก  ปัก”  เพื่อเป็นสัญญาณให้นักดนตรีในวงได้ทราบ เพื่อจะได้ขึ้นเพลงและลงจบเพลงได้อย่างพร้อมเพียงกัน
                ชิง (Ching)  เป็นเครื่องดนตรีในตระกูลฆ้องชนิดที่ไม่มีปุ่ม  มีลักษณะเหมือนกับโล่  (Lo)  หรือ  หลัว  (Lao)  ของจีน เจาะรูด้านบน  รู  เพื่อร้อยเชือกสำหรับเป็นที่ถือ  ไม้ตีทำด้วยไม้หุ้มผ้าที่ส่วนปลาย
                ในอดีต  ชิงใช้บรรเลงในขบวนทหารศึกควบคู่ไปกับกลอง   ปัจจุบันเครื่องดนตรีชนิดนี้บรรเลงร่วมอยู่ในวงดนตรีสำหรับสวนสนามแบบดั้งเดิมของเกาหลี  นอกจากนั้นยังนิยมใช้บรรเลงประกอบในดนตรีนองอั๊ก  (Nong-Ak) หรือดนตรีชาวนา ในพิธีกรรมของชาวพุทธและประกอบพิธีในรูปแบบของดนตรีราชสำนัก
                เกว็งคาริ  (Kkwaenggwari)  เป็นเครื่องดนตรีในตระกูลฆ้องเช่นเดียวกับชิง แต่มีขนาดเล็กกว่า เกว็งคาริสามารถเปรียบเทียบกับที่ฆ้องเช็งโล่ (Cheng – lo) ของจีน เครื่องดนตรีชนิดนี้มีเสียงที่ดังคมชัด นิยมใช้บรรเลงร่วมกับชิง
                ชาบาระ  (Chabaraเป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องเคาะจังหวะ มีลักษณะรูปทรงเหมือนกับฉาบของไทย เครื่องดนตรีชนิดนี้มีอยู่ด้วยกันหลายขนาด ขนาดใหญ่ที่สุดใช้บรรเลงประกอบพิธีกรรมตามวัดพุทธทั่วไป ขนาดเล็กนิยมใช้บรรเลงประกอบการเต้นรำ โดยผู้เต้นรำจะผูกชาบาระที่นิ้วหัวแม่มือ และนิ้วกลาง ในอดีตเครื่องดนตรีชนิดนี้นิยมใช้ในการทำศึกสงคราม

4.  เครื่องดนตรีประเภทหุ้มด้วยหนัง
                ชางโกะ  (Changgo)  เป็นกลองที่มีรูปทรงนาฬิกาทราย ในลักษณะเช่นเดียวกันกับบัณเฑาะว์ของไทย ชางกุ (Chang- ku) ของจีน และซานโนะตึสซุมิ (Sannotsuzami) ของญี่ปุ่น อย่างไรก็ตามขนาดของกลองชางโกะจะใหญ่กว่ากลองชางกุและซานโนะตึสชูมิ
                กลองชนิดนี้นับว่ามีบทบาทสำคัญในการบรรเลงร่วมกับวงดนตรี  ทั้งในอดีตและปัจจุบัน  ตามที่ปรากฏเป็นหลักฐานที่ทำเป็นภาพวาดที่สุสานสมัยโกคุเรียว (Koguryo)  และคำบรรยายที่นิยมเขียนไว้บนระฆังขนาดใหญ่ตามวัดพุทธหลายแห่ง ตั้งแต่สมัยราชวงศ์ยีเป็นต้นมา ได้มีการนำเอากลองชางโกะมาใช้บรรเลงในพระราชพิธีและประกอบการแสดงอย่างจริงจัง
                ในการบรรเลงดนตรี  นักดนตรีจะใช้ฝ่ามือตีที่หน้ากลองด้ายซ้าย  ซึ่งอาจมีเสียงทุ้มต่ำลแะนุ่มนวล  มือขวาจะถือไม้ตีที่ทำมาจากไม้ไผ่  โดยจะตีลงบนกลองด้านขวามือ  จะมีเสียงดังและระดับเสียงที่สูงกว่าหน้ากลองด้านซ้าย  วิธีการปรับระดับเสียงให้มีความสมบูรณ์  ผู้บรรเลงจะอาศัยการเลื่อนหนังรัดอก  ที่ห่อหุ้มเชือกเร่งหน้ากลอง  ซึ่งขึ้นไว้เป็นรูปทรงตัววี  (V)  ในลักษณะเช่นเดียวกันกับการเร่งระดับเสียงของกลองที่ใช้บรรเลงในวงโยธวาทิต
                ชัวโกะ  (Chawgo)  กลองที่หุ้มด้วยหนังทั้งสองหน้า มีขนานย่อม รูปทรงโดยทั่วไปมีลักษณะคล้ายคลึงกับกลองตึซาริไดโกะ (Tzaridaiko) กลองชัวโกะจะแขวนอยู่บนกระจังที่ทำเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า เครื่องดนตรีชนิดนี้ใช้บรรเลงในวงดนตรีราชสำนัก
                ยองโกะ  (Yonggo)  ในเชิงภาษาศาสตร์คำว่ายองโกะหมายถึง สิงโตกลองชนิดนี้ขึ้นหนังด้วยหมุดทั้งสองหน้า นิยมใช้บรรเลงในขบวนเดินแถว และการแสดงปันโซริ (Pansori) ซึ่งเป็นการแสดงแบบดั้งเดิมของเกาหลี ผู้บรรเลงจะใช้เชือกผูกร้อยที่ลำตัวกลอง และคล้องพาดเฉียงลงไปบนไหล่เพื่อให้เกิดความสะดวกขณะเดินบรรเลง
                เคียวบังโคะ  (Kyobanggo)  เป็นกลองที่ขึงหนังทั้งสองหน้าด้วยหมุด  เช่นเดียวกับกลองชัวโกะ  แต่มีขนาดที่ใหญ่กว่ามาก  กลองชนิดนี้จะตั้งอยู่บนขาตั้งที่มี  ขา  เดิมทีเดียวกลองชนิดนี้นิยมใช้บรรเลงเฉพาะในวงดนตรีแบบจีนหรือถังอั๊ก (tang – Ak) เท่านั้น  แต่ในปัจจุบันนี้นิยมใช้บรรเลงประกอบการแสดงระบำกลอง  โดยผู้รำซึ่งเป็นสตรีจะเป็นผู้บรรเลงเอง ลีลาการระบำกลองชุดนี้ มีลักษณะที่น่าจะเปรียบเทียบได้กับการรำกลองสะบัดชัยของชาวล้านนา (ภาพที่ 90)
                โซโกะ  (Sogo)   เป็นกลองที่มีขนาดเล็กและบางขึงหนังทั้งสองหน้า โดยอาศัยเชือกผูกโยงสำหรับเร่งระดับเสียง ส่วนต่อจากลำตัวหรือหุ่นของกลองจะมีไม้ยื่นต่อออกมาสำหรับให้นักดนตรีสามารถถือได้สะดวกในขณะที่ต้องเดินบรรเลง กลองชนิดนี้ทำให้เกิดเสียงโดยอาศัยไม้ตีจำนวน 1 อัน
                กลองโซโกะ  มีบทบาทที่สำคัญเป็นอย่างมากในการบรรเลงร่วมในดนตรีพื้นบ้าน  เช่น ดนตรีชาวนา (น้องอั๊กและประกอบการระบำรำฟ้อน
                โนะโดะ  (Nodo)  เป็นกลองชุดที่มีขนาดเล็กจำนวน 2 - 3 ใบ มีรูปทรงป่องตรงกลาง กลองเหล่านี้จะถูกเจาะรูและเสียบไว้กับแกนขาตั้งที่ทำด้วยไม้ ด้านข้างของกลองจะมีเชือกที่ส่วนปลายผูกเป็นปุ่ม เมื่อต้องการบรรเลง ผู้บรรเลงจะหมุนแกนไม้ ซึ่งจะทำให้ปุ่มเชือกทั้งสองข้างตีลงบนหน้ากลอง ลักษณะเช่นเดียวกับบัณเฑาะว์ของไทย 

ประเทศอินเดียเป็นประเทศที่มีประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ และมีวัฒนธรรมสูงส่งทั้งในด้านวรรณคดี ศิลปปรัชญา รวมทั้งดนตรี ดนตรีที่เป็นคลาสสิก ได้รับความสนใจจากชาวตะวันตกมากโดยมีผู้สนใจฟังการแสดงและศึกษาการบรรเลงอย่างจริงจังทั้งจากยุโรป อเมริกา และญี่ปุ่น
ในสมัยอารยัน (1500-250 ก่อนคริสต์ศักราช) อารยธรรมและความรู้ต่าง ๆ ของชาว   อารยันได้สืบทอดมายังชนรุ่นหลังโดยอาศัยการบอกเล่าที่มีปรากฏบันทึกลงในหนังสือนั้นมีอาย  ระหว่าง
1500-500 ก่อนคริสต์ศักราช โดยพระวยาสฤาษีได้เขียนไว้ในเล่มที่เรียกว่าคัมภีร์พระเวท ซึ่งประกอบด้วย
ฤคเวท    เป็นเวทที่เป็นร้อยกรองเนื้อหาเกี่ยวกับเทพเจ้าต่าง ๆ
                ยชุรเวท เป็นเวทที่ประพันธ์เป็นร้อยแก้วมีเนื้อหาที่กล่าวถึงการบูชาและวิธีบูชาเทพเจ้า
สามเวท   เป็นบทร้อยกรองที่ใช้สำหรับสวดเป็นทำนองเพื่อสรรเสริญพระเจ้า
                 อาถรรพเวท  เป็นเวทที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับเคล็ดลับที่จะนำมาช่วยในกิจการบางอย่างให้
                                      
เจริญหรือเสื่อม
การดนตรีในอินเดียเริ่มมีความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดในประมาณศตวรรษที่ 16 โดย
แบ่งเป็นส่วนเหนือและใต้ ดนตรีทางเหนือเรียก ฮินดูสถานสังคีต” (Hindustani Music) ซึ่งเป็น ดนตรีที่ได้รับอิทธิพลจากพวกมุสลิมและดนตรีทางใต้เรียก การะนาตักสังคีต” (Karnatic Music) เป็นดนตรีของฮินดูแท้และเก่าแก่

เครื่องดนตรีอินเดีย


ในนาฎยศาสตร์ท่านภรตะมุนีได้แบ่งเครื่องดนตรีออกเป็น 4 หมวดหมู่   คือ 
1. ตะตะ (TA TA)
           
หมายถึง เครื่องดนตรีที่ผลิตเสียงโดยอาศัยสายเป็นสำคัญซึ่งอาจจะทำได้ใน
หลายลักษณะ เช่น โดยใช้ไม้ดีด ใช้นิ้ว ตลอดทั้งใช้วิธีสี โดยอาศัยคันชัก เครื่องดนตรีเหล่านี้จัดเป็นเครื่องดนตรีในตระกูลตะตะทั้งสิ้น ชาวอินเดียบางท่านเรียกเครื่องดนตรีในกลุ่มนี้ว่า ตันตริ หรือ ตันตริกะแต่อย่างไรก็ดีคำว่า ตะตะเป็นคำที่ใช้กันในวงกว้าง เครื่องดนตรีในตระกูลนี้แบ่ง  ได้ 2 ประเภท คือ เครื่องสายประเภทไม่ใช้ทำนอง และ เครื่องสายประเภทใช้ทำนอง

2. สุษิระ (Susira)
              หมายถึง
เครื่องดนตรีประเภทเครื่องเป่าจัดได้ว่าเป็นกลุ่มเครื่องดนตรีที่มนุษย์
คิดค้นประดิษฐ์ขึ้นตั้งแต่ยุคโบราณควบคู่มากับวิวัฒนาการของสังคมเองตามที่ปรากฏเป็นหลักฐานเกี่ยวกับเครื่องดนตรีในตระกูลนี้ในทุกวัฒนธรรมยุคโบราณของโลก ในปัจจุบันเครื่องดนตรีในตระกูลสุษิระ แบ่งออกเป็น 3 ประเภทคือ            -    ประเภทปี่ที่มีลิ้น ได้แก่ เครื่องเป่าชนิดลิ้นคู่ เช่นเดียวกับปี่ทุกชนิดของไทย            -    ประเภทขลุ่ย ได้แก่ เครื่องเป่าชนิดไม่มีลิ้นที่ไทยเราเรียกรวม ๆ กันว่า ขลุ่ย
             -   ประเภทแตร

3. อวนัทธะ (Avanaddha)
         
เป็นคำภาษาสันสกฤษ หมายถึง สิ่งที่ผูกรัดตรึงแล้ว หรือรัดลงแล้ว ใน
ลักษณะของการร้อยผูกในการขึงให้ตึงจากสิ่งที่นำมาปิด (Cevered) รากศัพท์เดิมว่า นหฺ” (Nahฺ)   คือการรัด, การผูกให้แน่น ดังนั้นจึงหมายถึง กลองชนิดต่าง ๆ ที่มีลักษณะเป็นประเภทเครื่องทำจังหวะ(Instrument of percussion) และเสียงไม่ตาย (Indefinite Pitch) หมายความว่าในหน้าหนึ่งของกลองนั้น สามารถตีให้เกิดเสียงได้หลายเสียงไม่ว่าจะเป็นการตีด้วยฝ่ามือ หรือเคาะด้วยนิ้วก็ตามหรืออาจใช้ตีด้วยไม้ก็ได้ ประเทศอินเดียมีกลองมากมายหลายชนิดแต่ที่นิยมใช้กันอย่างแพร่ หลายในการแสดงดนตรีประเภทคลาสสิคนั้น คงมีอยู่
3 ชนิด คือ        - มริหังค์ (Mridanga) เป็นชื่อกลองที่เก่าแก่ที่สุดเป็นคำที่ออกเสียงตามภาษาฮินดี ในช่วงสมัยพุทธกาลกลองมริหังค์มีหุ่นทำด้วยดินเหนียว มีรูปร่าง 3 แบบ คือ แบบยอดตรงกลาง, แบบทรงป่องตรงกลาง, แบบรูปทรงกรวย ซึ่งกลองมริหังค์ทั้งสามแบบนี้มีขนาดและวิธีการเล่นที่แตกต่างกันไป          - ปักขวัช (Pakhavai)  เป็นกลองที่มีรูปทรงป่องตรงกลางคล้ายมริหังค์แต่หุ่นกลองทำด้วยไม้ ใช้บรรเลงประกอบจังหวะ
         - ตับบล้า (Tubla) เป็นชุดของกลอง 2
ใบ มีขนาดใหญ่-เล็ก แตกต่างกัน ผู้บรรเลงจะ
วางกลอง 2 ใบบนพื้นตรงด้านหน้า กลองใบที่อยู่ด้านขวามือของผู้บรรเลงมีชื่อเรียกว่า ตับบล้าหรือคาบาน มีเสียงสูง ส่วนกลองใบที่อยู่ด้านซ้ายมือของผู้บรรเลงมีชื่อเรียกว่า บายานหรือ คัคคามีเสียงต่ำบริเวณหน้ากลองตับบล้าและบายาน จะติดขี้กลองซึ่งเรียกว่า สยาฮีที่ทำจากส่วน
ผสมของ ผงเหล็ก ผงถ่าน กาว และแป้งเปียก ปกติจะติดมากับกลองชนิดถาวรต่างกับหน้ากลองของไทยที่จะติดเป็นครั้ง ๆ ที่ต้องการบรรเลง ในการเทียบเสียงตับบล้าจะเทียบตรงกับเสียงโดสูงส่วนบายานเทียบตรงกับเสียงโดธรรมดา
 
4. ฆะนะ วาทยะ (Ghana Vadaya)
          
ฆะนะเป็นกลุ่มของเครื่องดนตรีที่เกิดเสียงจากการสั่น
สะเทือนของวัตถุที่เป็นแท่ง ท่อน การสั่นสะเทือนของวัตถุจนเกิดเป็นเสียงนั้นอาจจะเกิดจากการที่กระทบกันระหว่างเครื่องดนตรีด้วยกันเอง เช่น ฉิ่ง ฉาบ กรับ หรืออาจจะเกิดจากการใช้วัตถุตีลงบนเครื่องดนตรี เช่น โหม่ง เกราะโกร่ง